นิยายปรัมปราและนิทานเกี่ยวกับไหม

          นิยายปรัมปราต้นกำเนิดของไหมที่เล่าต่อ ๆ กันมาส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดินีแห่งประเทศจีน เรื่องมีอยู่ว่า

          จักรพรรดิฮวงตี้ (Huang-Ti) ผู้ปกครองประเทศจีน ระหว่าง 2,600-2,700 ปีก่อนคริสตศักราช ได้ทรงมอบงานให้มเหสีของพระองค์หนึ่ง ชื่อ สีลิงฉี (Hsi-Ling-Shi) ศึกษาถึงโรคเชื้อราของต้นไม้ที่ทำลายป่าหม่อน โดยมีหนอนสีขาวตัวเล็ก ๆ กัดกินใบหม่อน แล้วคืบคลานจากใบไปกิ่งก้านและสร้างรัง มเหสีสีลิงฉีจึงทรงเก็บรังดักแด้จำนวนหนึ่งและนำไปยังวังของพระนางเพื่อทรงศึกษา ระหว่างเดินทางกลับวังเกิดอุบัติเหตุ พระนางทรงทำรังดักแด้จำนวนหนึ่งตกลงไปในบ่อน้ำร้อน พระนางทรงสังเกตเห็นว่ารังดักแด้แยกตัวเองออกเป็นเส้นใยละเอียดคล้ายใยแมงมุม เมื่อพระนางเห็นดังนั้น จึงได้ลองสาวเส้นใยขึ้นมาดูเห็นเป็นเส้นใยวาววับเล็กบางสวยงามมาก ทรงสังเกตต่อไปว่าเส้นใยเหล่านี้ยังยาวติดต่อกันไม่ขาด และยิ่งสาวเส้นใยขึ้นมาเท่าใด รังดักแด้ก็เล็กลงเท่านั้น หลังจากนั้นพระนางได้นำไปทดลองทอ ได้เป็นผืนผ้าไหมที่สวยงามมาก

          ยังมีนิทานกำเนิดของไหมอีกเรื่องหนึ่ง เป็นนิทานแห่งมณฑลหังโจวของจีน เรื่องก็มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหญิงน้อย ๆ คนหนึ่งนามว่า อาเจียว เมื่ออาเจียวอายุได้ 9 ขวบ แม่ของเธอได้เสียชีวิต ทิ้งเธอไว้น้องชายวัย 4 ขวบให้อยู่กับพ่อและแม่เลี้ยง วันหนึ่งเป็นวันที่มีอากาศหนาวจัด แม่เลี้ยงของเธอได้ใช้เธอไปหาหญ้าแห้งใส่ตระกร้ามาให้เต็ม สั่งว่าถ้าไม่ได้หญ้าแห้งมาเต็มตระกร้าก็อย่ากลับบ้านเป็นอันขาด เพราะถึงกลับมาก็ไม่มีข้าวให้กิน อาเจียวออกจากบ้านไปพร้อมตระกร้าเที่ยวเก็บหญ้าแห้งตามริมทางเดิน ริมฝั่งแม่น้ำ ตลอดจนถึงยอดเขา ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็หาหญ้าแห้งไม่ได้ เพราะเป็นช่วงฤดูหนาว มีหิมะลง ต้นไม้ก็ทิ้งใบไปหมด เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะได้หญ้าเต็มตระกร้ากลับไปให้แม่เลี้ยง จึงนั่งคิดทอดอาลัย นึกถึงตอนที่เธออยู่กับแม่และน้องชายในเดือนมิถุนายนที่มีแสงแดดอบอุ่นสาดส่องใบไม้ ดอกไม้ มีเสียงนกร้อง โดยมีแม่ถือตระกร้าที่เต็มไปด้วยหญ้าตัดใหม่เดินตรงมาที่เธอกับน้องชายที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้แม่ได้บอกกับอาเจียวว่า "อย่าเพิ่งไปนอน เราไปเลี้ยงแกะกันก่อน" เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ พลันอาเจียวก็ได้ยินเสียงร้องจากฟ้าว่า "มีหญ้าอยู่มากมายในถ้ำ" อาเจียวแหงนหน้ามองฟ้า เห็นนกตัวหนึ่งมีสร้อยสีขาวรอบคอ บินวนอยู่และทำท่าเหมือนจะบอกทางแก่เธอ อาเจียวจึงลุกตามนกตัวนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว และแล้วนกน้อยก็หายวับไป เมื่อไม่มีนกนำทางอีกแล้ว อาเจียวเริ่มหวาดกลัวและสับสนงุนงง หลังจากนั้นเธอก็พบต้นสนยักษ์ต้นหนึ่งขวางหน้า มีใบสนดกหนาจนแสงส่องลอดลงมาไม่ได้ อาเจียวมองต้นสนและเดินวนรอบต้นสน และแล้วเธอก็สังเกตเห็นว่ามีรูใญ่ตรงซอกผา ลักษณะเป็นถ้ำ และมีเสียงน้ำไหลวนไปมาในถ้ำดังออกมาด้วย เธอรู้สึกกระหายน้ำจึงเดินไปที่นั่นและดื่มน้ำในลำธารนั้น และแล้วเธอก็มองเห็นหญ้าอ่อนขึ้นอยู่เต็มสองข้างลำธาร ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งมีทั้งดอกไม้และหญ้างาม ๆ เมื่อตัดหญ้าได้เต็มตระกร้า เธอเริ่มรู้สึกว่าได้เดินทะลุถ้ำออกมาที่ลานโล่งแห่งหนึ่ง เธอมองเห็นหญิงสาวสวยนางหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่เธอ และเมื่อใกล้เข้ามาเธอบอกกับอาเจียวว่าไม่ต้องกลัวและชวนเธออยู่พูดกันสักสองสามวัน อาเจียวตอบตกลง ระหว่างที่พักอยู่กับสตรีนางนี้ที่บ้านสวยหลังคาสีขาว อาเจียวได้ร่วมกับเด็กหญิงหลายคนเก็บใบไม้ไปเลี้ยงตัวหนอนสีขาวราวกับหิมะ ที่เธอเพิ่งรู้จัก เธอได้เรียนรู้ว่า ตัวหนอนเหล่านี้ คือ ตัวไหม ส่วนใบที่เก็บมาเลี้ยงมันก็คือ ใบหม่อน เมื่อตัวหนอนชักใยเป็นตัวดักแด้แล้ว ก็สามารถสาวใยของมันออกมาเป็นเส้นยาว ๆ นำมาใช้ทอผ้าได้ เรียกว่า ผ้าไหม และยังสามารถย้อมให้เป็นสีต่าง ๆ ได้ตามที่เธอชอบ เธอจดจำเรื่องเร้นลับนี้ไว้ในใจ

          เวลาผ่านไปสามเดือน วันหนึ่งอาเจียวคิดถึงบ้าน นึกได้ว่าได้จากบ้านมาหลายเดือนแล้ว ความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองว่าทำไมไม่กลับบ้านไปรับน้องชายมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี เมื่อคิดได้ดังนั้น วันรุ่งขึ้นอาเจียวจึงออกเดินทางกลับบ้านดดยไม่ได้ร่ำลาใครทั้งสิ้น พร้อมกับนำไข่ตัวไหมกับเมล็ดหม่อนติดตัวไปด้วย ระหว่างเดินทางกลับบ้านเธอได้โรยไข่ตัวไหมและใบหม่อนเป็นระยะ ๆ ไปด้วย เพื่อจะให้มันเป็นที่สังเกตเมื่อเธอเดินทางกลับมาที่บ้านหลังคาสีขาวนี้อีกครั้งในภายหลัง

          เมื่ออาเจียวกลับมาถึงบ้าน พบพ่อของเธอเป็นคนแก่ และน้องชายก็โตเป็นหนุ่ม พ่อถามเธอว่าไปอยู่ที่ไหนมาถึงสิบห้าปีและเกิดอะไรขึ้นกับเธอ อาเจียวเล่าให้พ่อฟังถึงหุบเขาลึกลับและสิ่งที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็น สภาพสตรีชุดขาว ตัวหนอนสีขาว ที่เรียกกันว่า "แมลงสวรรค์" และยังได้อวดไข่หนอนกับพ่อเธอด้วย เมื่อชาวบ้านทราบข่าวต่างเชื่อกันว่า อาเจียวได้พบกับพระเจ้า ผู้ต้องการโปรดคนหังโจวให้รู้จักการเลี้ยงไหมผ่านอาเจียว

          วันรุ่งขึ้น อาเจียวได้กลับไปที่หุบเขาลึกลับนั้นอีก ระหว่างทางอาเจียวสังเกตเห็นว่ามีต้นหม่อนเกิดขึ้นตามรายทางที่อาเจียวได้โรยเมล็ดหม่อนทิ้งไว้ตอนขามา เธอเดินตามเส้นทางเดิมไปจนถึงสถานที่ที่เคยเป็นปากถ้ำ แต่เธอหาได้พบปากถ้ำที่เคยพบไม่ พบแต่นกที่มีสร้อยคอสีขาวตัวเดิมบินวนอยู่กำลังร้องว่า "อาเจียวขโมยสมบัติ" แล้วบินหายลับไป เมื่อยินดังนั้น อาเจียวรู้สึกผิดที่เธอได้ขโมยไข่ไหมและเมล็ดหม่อนไปจากหุบเขา แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่าไรนอกจากเดินทางกลับบ้าน นับแต่นั้นมาชาวหังโจวก็มีต้นหม่อนและตัวไหมที่ได้รับการประทานจากพระเจ้า และได้รู้จักการเลี้ยงไหมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ปัจจุบัน เมืองหังโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ได้เป็นศูนย์กลางของการผลิตไหม อาเจียวได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ "แมลงสวรรค์" มาสู่หงัโจว และสภาพสตรีชุดขาวซึ่งไม่มีใครรู้จักได้รับการขนานนามว่าเป็น "มารดาแห่งผ้าไหม" หรือ "เทพเจ้าแห่งไหม"

          เป็นเวลาประมาณ 3,000 ปี ที่ประเทศจีนได้เก็บเรื่องไหมเป็นความลับ และผูกขาดตัดตอนเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมไหมแต่เพียงผู้เดียวมายาวนาน จนถึงปี พ.ศ. 843 ประเทศญี่ปุ่นจึงได้สูตรไป โดยมีเรื่องเล่าว่า ญี่ปุ่นส่งชาวเกาหลีหลายคนไปร่วมประชุมที่ประเทศจีนเพื่อล้วงความลับเกี่ยวกับเรื่องนี้ บุคคลที่ถูกส่งไปได้นำหญิงชาวจีนกลับมาด้วย ซึ่งหญิงชาวจีนเหล่านี้ได้สอนให้ชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่น ล่วงรู้ถึงศิลปะของการเลี้ยงไหมและการผลิตผ้าไหม 

เอกสารอ้างอิง :

นวลแข ปาลิวนิช.  (2542).  ความรู้เรื่องผ้าและเส้นใย (ฉบับปรับปรุงใหม่).  กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.

คลังปัญญาไทย. (2052). ต้นกำเนิดผ้าไหม.  สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ผ้าไหมไทย

รวบรวมและเรียบเรียงโดย: นายิกา เดิดขุนทด



Copyright (c) 2010 by Academic Resources Center สงวนสิทธิ์ห้ามทำซ้ำ ทั้งหมด หรือบางส่วนไม่ว่าในรูปแบบ
หรือสิ่งใดโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ดูแลเว็บไซต์เป็นลายลักษณ์อักษร
Contact Webmaster :library@kku.ac.th or nayder@kku.ac.th